ลูอิส กีโญเนส นักเตะทีม Tigres UANL เทน้ำใส่ตัวเองในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบรองชนะเลิศ ที่สนาม Qatar Education City Stadium เมื่อเดือน ก.พ. 2021 ในกรุงโดฮา

ฟุตบอลโลก 2022 : นวัตกรรมสร้างความเย็นให้สนามบอลกลางทะเลทราย

ตอนที่กาตาร์ ประเทศในเขตทะเลทรายอ่าวอาหรับได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า นักกีฬาและผู้ชมจะรับมือกับสภาพอากาศร้อนระอุทะลุ 40 องศาเซลเซียสได้อย่างไร

การเลื่อนเวลาจัดการแข่งขันไปเป็นช่วงฤดูหนาวคือคำตอบหนึ่งของปัญหานี้ แต่ชาติร่ำรวยอย่างกาตาร์ยังให้คำมั่นจะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีการอันสุดโต่ง นั่นคือการใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยให้แม้แต่ประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนที่สุดสามารถจัดการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ได้ตลอดทั้งปี ฮาจาร์ ซาเลห์ นักฟุตบอลชาวกาตาร์บอกว่า อากาศร้อนระอุและความชื้นทำให้การเล่นฟุตบอลในประเทศนี้เป็นเรื่องท้าทายยิ่ง

แล้วกาตาร์จะทำอย่างไรในการแก้ปัญหานี้โดยที่ไม่ต้องใช้เงินมหาศาล

ภาพมุมสูงจากสนามกีฬาอัลจานูบที่มีลูกศรสีแดงแสดงถึงอากาศร้อน

ส่วนการทำให้สนามและอัฒจันทร์เย็นนั้นใช้การแก้ปัญหาด้วยนวัตกรรมอันชาญฉลาด ตามไปดูด้วยกันข้างใน

ในวันแข่งขัน สนามจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนถึง 40,000 คน และแต่ละคนต่างเป็นแหล่งกำเนิดความร้อนและความชื้น

สภาพอันแสนอบอ้าวซึ่งเป็นส่วนผสมกันระหว่างอุณหภูมิโดยรอบของกาตาร์กับความร้อนที่เกิดขึ้นภายในสนามแข่งขัน ทำให้ต้องมีการนำระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพมาใช้

แฟนบอลที่อัฒจันทร์จะได้รับความเย็นจากช่องปล่อยลมเย็นใต้ที่นั่งแต่ละตัว

หัวฉีดขนาดเล็ก ซึ่งทำงานเหมือนหัวฝักบัวอาบน้ำ จะปล่อยลมเย็นเพื่อให้อากาศไหลเวียนไปรอบ ๆ ผู้ชม

ลมที่ปล่อยออกมามีลักษณะเป็นสายลมอ่อน ไม่ใช่ลมที่พุ่งเป้าเจาะจงแบบช่องแอร์เหนือที่นั่งผู้โดยสารบนเครื่องบิน

วิธีการนี้ช่วยบรรเทาความร้อนให้แก่ผู้ชมบนอัฒจันทร์ แล้วจะมีวิธีการอะไรบ้างเพื่อช่วยเหล่านักกีฬาในสนาม

นักฟุตบอลในปัจจุบันอาจต้องวิ่งเป็นระยะทางรวมกว่า 10 กม.ในระหว่างการแข่งขันแต่ละนัด และอาจเสียเหงื่อได้ถึง 3 ลิตร ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำให้ร่างกายเย็นและดื่มน้ำให้เพียงพออยู่เสมอ

กราฟิกภาพด้านในสนามกีฬาอัลจานูบ เผยให้เห็นสนามและบริเวณอัฒจันทร์ที่เป็นสีฟ้าบ่งชี้ถึงความเย็น

ในสภาพอากาศชื้นแบบในกาตาร์ ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยน้ำทะเลในอ่าวอาหรับทำให้เหงื่อระเหยได้ยากขึ้น และอาจทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคฮีทสโตรก หรือโรคลมแดดได้

ดังนั้น ในการแข่งขันบอลโลกที่กาตาร์ครั้งนี้จะมีการระดมพ่นลมเย็นจากหัวฉีดขนาดใหญ่เข้าไปในสนามเพื่อสร้างชั้นอากาศเย็นไปทั่วสนามแข่ง

ดร.ซาอุด อับดุล กานี ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับอากาศซึ่งพัฒนาระบบนี้ขึ้นระบุว่า องศา ตำแหน่ง และวิธีการพ่นลมเย็นลงไปในสนามนั้น ทำให้เหล่านักฟุตบอลแทบจะไม่รู้สึกถึงกระแสลมจากระบบทำความเย็นนี้เลย

วิธีการที่กล่าวมาเหล่านี้จะช่วยสร้างพื้นที่ซึ่งเปรียบเสมือนฟองอากาศที่กักเก็บลมเย็นอุณหภูมิประมาณ 18-24 องศาเซลเซียสภายในสนามแข่ง โดยมีความสูงไม่ถึง 2 เมตรจากพื้นดินหรือจากอัฒจันทร์ แทนที่จะเป็นการพ่นลมเย็นขึ้นฟ้าที่อยู่กลางทะเลทราย แล้วจะเกิดอะไรต่อไป

เมื่อลมที่ปล่อยออกมาเริ่มจะคลายความเย็นลง มันก็จะถูกดูดออกไปด้วยพัดลมดูดอากาศที่ตั้งอยู่ระหว่างชั้นต่าง ๆ ในสนาม

จากนั้นลมจะผ่านระบบกรองอากาศ และทำให้เย็นลงอีกครั้ง แล้วจึงปล่อยกลับเข้าสนาม เป็นวงจรแบบนี้ต่อไป

เมื่อน้ำเย็นดูดซับความร้อนไปแล้วก็จะถูกสูบไปไว้ที่ถังเก็บขนาด 40,000 ลิตร ซึ่งอยู่ห่างออกไป 3 กม. จากนั้นก็จะทำให้เย็นตัวลงอีกครั้ง เตรียมพร้อมไว้ใช้สำหรับการแข่งขันนัดต่อไป

กราฟิกภาพด้านข้างสนามกีฬาแสดงให้เห็นแผงพลังงานแสงอาทิตย์

ระบบทำความเย็นทั้งหมดที่ใช้ครั้งนี้ใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยอยู่ห่างจากกรุงโดฮา ออกไปประมาณ 80 กม.

“ดร.คูล”

ดร.ซาอุด อับดุล กานี ชายผู้คิดค้นระบบทั้งหมดนี้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า กาตาร์ต้องการสร้าง “มรดก” ที่จะใช้สืบต่อไปได้หลังจากศึกฟุตบอลโลกปิดฉากลงแล้ว

เขาบอกว่า การทำวิจัยที่ยาวนานหลายปีได้นำไปสู่การคิดค้นสิ่งที่เขาเรียกว่า “อุณภูมิที่ให้ความรู้สึกสบายตัว” ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศที่น่าอภิรมย์ให้คนได้เป็นจำนวนมาก การเก็บข้อมูลจากนักกีฬาและผู้เข้าชมการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกที่จัดขึ้นในกาตาร์เมื่อปี 2019 ช่วยให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาระบบทำความเย็นที่จะใช้ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้

มุมมองของนักกีฬา

บีบีซีสอบถามเรื่องนี้กับ ฮาจาร์ ซาเลห์ ผู้รักษาประตูฟุตบอลหญิงทีมชาติกาตาร์ ซึ่งเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่อายุ 11 ปี เธอรู้ดีถึงความต้องการของคนที่ต้องเล่นกีฬาในเขตที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว เธอบอกว่าความชื้นคือความท้าทายใหญ่ที่สุด

“เราคุ้นชินกับอากาศร้อน แต่เมื่อรวมความร้อนเข้ากับความชื้น อะไร ๆ ก็ยากลำบากขึ้น” ฮาจาร์ ซาเลห์

ฮาจาร์มีประสบการณ์ตรงในการลงเล่นในสนามแข่ง 2 แห่งที่มีระบบทำความเย็นใหม่นี้

เธอบอกว่ามันมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเล่นในช่วงเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นเดือนที่อากาศร้อนระอุที่สุดเดือนหนึ่งในรอบปีของกาตาร์

ระบบมีความยั่งยืนหรือไม่

คณะผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกของกาตาร์ ระบุว่าการใช้ระบบทำความเย็นให้สนามบอลที่จะใช้ในการแข่งขันทั้งหมดจะไม่ทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น เพราะไฟฟ้าทั้งหมดได้มาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

แต่เป้าหมายของกาตาร์ในการทำให้ฟุตบอลโลกครั้งนี้มี “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (carbon neutrality) มีมากกว่านั้น

ข้อมูลจากสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ประเมินว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการก่อสร้างสนามทั้งหมดที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้มีสัดส่วน 90% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นจากการจัดงานนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณ 800,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับการขับรถยนต์รอบโลก 80,000 รอบ

นอกเหนือไปจากสนามแข่งแล้ว ก็ยังมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการจัดศึกบอลโลกครั้งนี้ เช่น ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการที่นักเตะและแฟนบอลขึ้นเครื่องบินเดินทางไปที่กาตาร์

สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ระบุว่า ขอบเขตสถานที่จัดงานซึ่งไม่ใหญ่มากนัก โดยที่สนามแข่งแต่ละแห่งอยู่ไม่ห่างกันมากนั้น ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่จะเกิดจากการจัดฟุตบอลโลกที่กาตาร์ครั้งนี้มีไม่ถึง 1 ใน 3 ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากศึกบอลโลกที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพในปี 2018

แต่วิธีสำคัญในการบรรลุเป้าหมายสีเขียวของบอลโลกที่กาตาร์คือ การที่คณะผู้จัดงานใช้วิธีชดเชยคาร์บอน (carbon offset) ซึ่งเป็นการซื้อคาร์บอนเครดิตในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อหักล้างกิจกรรมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของตนเอง

ทว่าปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่ากาตาร์จะบรรลุเป้าหมายนี้อย่างไรบ้าง แต่ฟีฟ่าระบุว่า คาร์บอนเครดิตที่ใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดฟุตบอลโลกนั้นจะทำผ่านบรรดาโครงการส่งเสริมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีเพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการของเสีย พลังงานหมุนเวียน และอาจรวมถึงการปลูกป่า อย่างไรก็ตาม ฟีฟ่าระบุว่าแผนการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ว่านี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่มีการสรุปในขั้นสุดท้าย

โครงการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกต้นไม้จะต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่ต้นไม้จะโตและช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ขณะที่การตรวจสอบของบีบีซีพบข้อมูลบ่งชี้ว่าโครงการปลูกป่าเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางรายเป็นเพียงโครงการในกระดาษที่ไม่มีการลงมือทำจริง

ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าที่เราจะตัดสินได้ว่ากาตาร์สามารถบรรลุเป้าหมายสีเขียวตามที่ตั้งไว้ได้หรือไม่

นอกจากนี้ กาตาร์ยังเผชิญเสียงวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างชาติราว 30,000 คนที่เข้าไปก่อสร้างสนามกีฬาที่ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ โดยมีรายงานว่ามีคนงานจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการทำงาน นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการบังคับใช้แรงงาน สภาพการทำงานและความเป็นอยู่ที่เลวร้ายในที่พักคนงาน รวมทั้งเรื่องการค้างค่าแรง และการยึดหนังสือเดินทางของคนงาน

รัฐบาลกาตาร์ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยยืนยันว่าตั้งแต่ปี 2017 รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองแรงงานต่างชาติจากการทำงานในสภาพอากาศร้อนเกินไป จำกัดชั่วโมงการทำงาน และปรับปรุงสภาพของที่พักคนงานให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศระบุว่า ในปี 2021 เพียงปีเดียว มีคนงานราว 50 คนเสียชีวิตจากการก่อสร้างสนามแข่งบอลโลกที่กาตาร์ และอีกกว่า 500 ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งนี่ถือเป็นอีกประเด็นนอกสนามแข่งที่กาตาร์ยังต้องเผชิญการตรวจสอบและจับจ้องจากนานาชาติ